ลดน้ำหนักต้องระวังสิ่งต่อไปนี้ต่อไปนี้

10 เครื่องดื่มที่ควรระวัง สำหรับผู้ควบคุมน้ำหนัก

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังลดน้ำหนัก และได้ทำการควบคุมอาหารแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่พึงจะต้องระวังก็คือเครื่องดื่ม เพราะเครื่องดื่มบางชนิดกให้น้ำตาลสูงและไม่ดีต่อสุขภาพด้วย วันนี้เราจะมาดู 10 เครื่องดื่มที่ควรระวังสำหรับการควบคุมน้ำหนัก

1. น้ำผลไม้

เพราะน้ำผลไม้ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยน้ำตาล เว้นเสียแต่จะเป็นน้ำผลไม้ที่แปะฉลากไว้ว่า เป็นน้ำผลไม้ 100%

2. กาแฟเย็นโปะวิปครีม

กาแฟเย็นรสหวานมัน โปะวิปครีมรสชาติละมุนลงไป ช่างเอร็ดอร่อยอะไรเสียอย่างนี้ แต่รู้ไหมว่า กาแฟโปะวิปครีมแก้วหนึ่งสามารถให้พลังงานได้มากถึง 800 แคลอรี่ แถมน้ำตาลอีกตั้ง 170 กรัม หากเป็นไปได้ลองหันมาสั่งกาแฟใส่นมไขมันต่ำ ลดไซรัปลงครึ่งหนึ่ง และไม่โปะวิปครีม น่าจะดีกว่า

3. น้ำดื่มปรุงกลิ่นและรส

น้ำดื่มปรุงกลิ่นและรสมักมีการผสมวิตามิน หรือสารบางอย่างเพิ่มเข้ามา เช่น เพิ่มวิตามินซี เพิ่มแอลคานิทีน เป็นต้น ทำให้รู้สึกว่าเป็นน้ำดื่มที่ดีต่อสุขภาพ แต่ความจริงแล้วพวกมันส่วนใหญ่ก็ผสมน้ำตาลเทียมมาด้วยไม่น้อย

4. โซดา

การบริโภคโซดาเกินพอดีมีความเกี่ยวข้องบางประการกับความอ้วน แต่ถ้านาน ๆ ครั้งจะกินสักครั้งก็ถือว่าโอเค

5. มิกเซอร์

บรรดามิกเซอร์สารพัดชนิดที่บาร์เหล้าล้วนมีน้ำตาลผสมอยู่ รวมทั้งมีการแต่งกลิ่นและใส่สีสังเคราะห์ด้วย

6. สมูทตี้ผลไม้พร้อมดื่ม

สมูทตี้ผลไม้พร้อมดื่ม ฟังชื่อแล้วดูช่างดีต่อสุขภาพ แต่รู้ไหมว่าบรรดาสมูทตี้พร้อมดื่มทั้งหลายใส่น้ำตาลผสมมาเป็นว่าเล่น หากต้องการสมูทตี้ที่ดีต่อสุขภาพจริง ๆ สักแก้ว ปั่นกินเองที่บ้านจะดีที่สุด เพราะคุณสามารถควบคุมปริมาณน้ำตาล หรือจะอาศัยความหวานจากผลไม้ล้วน ๆ เลยก็ได้ ทั้งยังปราศจากสารกันบูดด้วย

7. เหล้า

เหล้าแค่ 2 แก้ว ก็เพิ่มความเสี่ยงให้คุณเข้าข่ายน้ำหนักตัวเกินได้แล้ว แถมยังส่งผลเสียต่อสุขภาพ อีกต่างหาก เพราะฉะนั้นจะดื่มสังสรรค์แต่ละทีก็ควบคุมปริมาณกันด้วยนะจ๊ะ

8. น้ำมะนาวพร้อมดื่ม

น้ำมะนาวพร้อมดื่มนั้นมีทั้งสารแต่งสีและสารกันบูด แถมยังเสี่ยงกับปริมาณน้ำตาลที่มากเกินพอดี ทางที่ดีคั้นน้ำมะนาวดื่มเองจะปลอดภัยที่สุด

9. น้ำดื่มเสริมเกลือแร่

รู้ไหมว่าน้ำดื่มเสริมเกลือแร่สำหรับนักกีฬาและผู้เสียเหงื่อนั้น มีน้ำตาลและสารกันบูดผสมอยู่ไม่น้อยเลยล่ะ

10. เครื่องดื่มเสริมพลังงาน

เครื่องดื่มเสริมพลังงานที่กินแล้วสดชื่นทันใจ ก็มีน้ำตาลผสมอยู่ไม่น้อย แถมยังมีคาเฟอีนอีกด้วย (เป็นเหตุผลว่าทำไมที่ฉลากจึงมีคำเตือนว่า ห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวด นั่นเอง)

น่าตกใจจริง ๆ ที่เครื่องดื่มบางชนิดที่ดูแล้วน่าจะดีต่อสุขภาพ เช่น น้ำผลไม้ หรือสมูทตี้ กลับกลายเป็นเครื่องดื่มที่ผู้ที่ควบคุมน้ำหนักต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ รู้อย่างนี้แล้วคงต้องมีสติในการเลือกเครื่องดื่มกันให้มากขึ้นแล้วล่ะ การหันไปดื่มน้ำสุดคลาสสิคอย่าง “น้ำเปล่า” และรับวิตามินจากผักผลไม้สด ๆ ที่หวานน้อย น่าจะดีกับสุขภาพของคุณมากที่สุดค่ะ

วิธีคลายกล้ามเนื้อหลังโยคะ

การปวดกล้ามเนื้อเป็นอาการที่ได้พบบ่อยหลังจากการออกกำลังกายประเภทใดๆ ก็ตาม โดยอาจเกิดขึ้นเพราะคุณเพิ่งเริ่มออกกำลังกายเป็นครั้งแรก หรือเพิ่งเปลี่ยนไปออกกำลังกายประเภทอื่นเป็นครั้งแรก โดยอย่างยิ่ง ถ้าใครเคยเล่นโยคะเป็นครั้งแรก จะรู้ดีว่า วันรุ่งขึ้นจะรู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัว ไม่ต้องกังวลใจไปค่ะ วันนี้ ขอนำเสนอ วิธีคลายกล้ามเนื้อหลังจากเล่นโยคะมาฝากค่ะ

ทำไมรู้สึกปวดเมื่อยหลังจากเล่นโยคะ
การปวดกล้ามเนื้อหลังจากการออกกำลังกายประเภทใดๆ ก็ตาม เกิดจากกล้ามเนื้อทำงานหนัก ซึ่งทำให้เกิดการฉีกขาดในระดับเนื้อเยื่อ (microscopic tears) แต่กล้ามเนื้อก็มีกระบวนการรักษาตัวเอง ที่เรียกว่าการฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อเติบโต และเริ่มแข็งแรงมากขึ้น

กล้ามเนื้อจะค่อยๆ ซ่อมแซมตัวเองระหว่างการออกกำลังกาย ในกรณีที่คุณเพิ่งเริ่มเล่นโยคะ และฝึกโยคะทุกวัน เราแนะนำว่าคุณควรหาวันพักสัก 1 วัน เพื่อให้เวลาร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเองและฟื้นฟูกล้ามเนื้อบ้าง การเหยียดกล้ามเนื้อในขณะที่ร่างกายคุณไม่มีความยืดหยุ่นพอจะทำให้คุณปวดกล้ามเนื้อเช่นกัน

ในการเล่นโยคะ มีท่าต่างๆ ที่คุณต้องเหยียดยืดร่างกายในลักษณะที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน การใช้กล้ามเนื้อและระยะในการเคลื่อนไหว จะทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ ยังอาจทำให้เกิดแรงดึงที่เอ็นยึดกล้ามเนื้อและข้อต่อได้ด้วย

ยิ่งปวดยิ่งดีต่อกล้ามเนื้อ
อาการปวดกล้ามเนื้อจากการเริ่มเล่นโยคะโดยทั่วไปนั้นเกิดขึ้นเพียงครั้งคราว และไม่ถือว่ามีอันตรายใดๆ ถ้าหากคุณไม่หักโหมมากเกินไป หรือเหยียดกล้ามเนื้อเกินกว่าระดับความยืดหยุ่นของคุณจะรับไหว

ความปวดเมื่อยเป็นสัญญาณที่กำลังบอกว่าคุณเริ่มแข็งแรงขึ้น และร่างกายมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถเพิ่มระดับความท้าทายขึ้นไปอีกได้ถ้าต้องการ ดังนั้น ความเจ็บปวดเมื่อเริ่มเล่นโยคะ ดูจะเป็นสิ่งเล็กน้อยที่แลกกับประโยชน์ทางสุขภาพในระยะยาว จริงมั้ยคะ

นอกจากนี้ งานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในปี 2003 ใน Indian Journal of Physiology and Pharmacology ยังพบข้อมูลว่าคนที่มีอายุเกิน 40 ปี และฝึกเล่นโยคะมากกว่า 5 ปี จะมีอัตราชีพจรขณะพัก และระดับความดันโลหิตที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกลุ่มคนที่ไม่ค่อยได้มีกิจกรรมเคลื่อนไหวในแต่ละวัน แสดงให้เห็นว่าการเล่นโยคะนั้นส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมอย่างเห็นได้ชัด

การบำบัดด้วยตัวเอง
อาการปวดกล้ามเนื้อส่วนใหญ่หลังเล่นโยคะสามารถหายดีได้ด้วยการบำบัดด้วยตัวเองและไม่ต้องพึ่งคุณหมอค่ะ ต่อไปนี้ เป็นเคล็ดลับที่มีประโยชน์ที่จะช่วยให้คุณสามารถแก้ปัญหาปวดกล้ามเนื้อได้ด้วยตัวเองค่ะ

นวดบริเวณที่ปวดเบาๆ ด้วยน้ำมัน
การนวดเป็นเทคนิคโบราณที่มหัศจรรย์ซึ่งใช้เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อและบรรเทาความเจ็บปวด การนวดช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดที่ก่อตัวขึ้นในกล้ามเนื้อและช่วยบรรเทาความเจ็บปวดและทำให้หายปวดเร็วขึ้น

การประคบร้อน
การอาบน้ำอุ่นหรืออบไอน้ำสามารถขจัดความเจ็บปวดออกจากร่างกายของคุณอย่างได้ผลดีมาก ความร้อนจะช่วยลดความแข็งติดของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายมากขึ้นและลดความเจ็บปวดลง นอกจากนี้ ความร้อนจะเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังบริเวณที่ปวดและขจัดพิษที่สะสมออกไป ซึ่งเป็นการเร่งกระบวนการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว

การเติมดีเกลือ (Epsom salt) ลงในน้ำสำหรับอาบเป็นวิธีหนึ่งที่จะเพิ่มประโยชน์ของการประคบร้อนที่มีต่อสุขภาพได้มากขึ้นไปอีก เพราะดีเกลือจะช่วยผ่อนคลายระบบประสาท ลดความตึงของกล้ามเนื้อและดูดพิษต่างๆ จากร่างกาย

การใช้ยาแก้ปวด
ยาแก้ปวดจะบรรเทาความเจ็บปวดและการอักเสบของกล้ามเนื้อได้ การซื้อยาแก้ปวดมากินเองก็ไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าความเจ็บปวดยังไม่บรรเทาหลังจากใช้วิธีแบบธรมชาติ เช่น การนวด หรืออาบน้ำอุ่นแล้ว

และถ้าทำทุกยอ่างตามวิธีข้างต้นแล้ว ยังไม่สามารถบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ที่เกิดขึ้นได้ เราแนะนำให้คุณปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาว่าคุณได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อชั้นลึกหรือไม่

ถุงน้ำแข็ง
การประคบถุงน้ำแข็งบริเวณขาข้างที่เจ็บใน 2 วันแรกจะช่วยบรรเทาความปวดกล้ามเนื้ออย่างได้ผล และหลังจาก 48 ชั่วโมงแรก ให้ใช้วิธีการแช่น้ำอุ่นที่ผสมดีเกลือตามหลังจากประคบเย็น ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดส่วนที่เหลือได้

นอกจากนี้ จากข้อมูลของนิตยสาร Yoga Journal ยังได้แนะนำด้วยว่าการใช้ยาหม่อง ที่เรารู้จักกันดีและหาซื้อได้ง่าย ก็สามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวดกล้ามเนื้อได้เช่นกัน

อย่างก็ไรตาม ควรปรึกษาแพทย์ถ้าเป็นความเจ็บปวดแบบฉับพลันและเป็นนานแบบเรื้อรัง และอย่าลืมขอความเห็นชอบจากแพทย์ก่อนใช้การบำบัดด้วยสมุนไพรเองด้วยนะคะ

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ถ้าอาการเจ็บปวดแย่ลงหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาใดๆ ให้ติดต่อแพทย์เพื่อวินิจฉัยว่าอาการของคุณเป็นเพียงเป็นการบาดเจ็บธรรมดาหรือเป็นปัญหาที่ร้ายแรงกว่านั้น

เครียดลงกระเพาะ โรคร้ายของคนวัยทำงาน

รู้หรือไม่ว่า เวลาเราเครียด ฮอร์โมนในร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไป หัวใจจะเต้นแรง เร็ว แต่ไม่เป็นจังหวะ เส้นเลือดบีบตัว ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ส่วนกระเพาะอาหารของเราก็จะหลั่งน้ำย่อยออกมามากกว่าที่ควรจะเป็น ลำไส้บีบตัวอย่างรุนแรง ฯลฯ

อาการของโรคเครียดลงกระเพาะ ของแต่ละคนอาจแตกต่างกันออกไปดังนี้

– ปวดท้อง หรือมวนท้อง ซึ่งอาการดังกล่าวจะบรรเทา หรือหายไปเมื่อถ่ายอุจจาระ
– ถ่ายอุจจาระมากกว่าวันละ 3 ครั้ง หรือถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้ง ต่อสัปดาห์
– ต้องเบ่งถ่าย หรือกลั้นไม่อยู่ หรือรู้สึกว่าถ่ายไม่สุด
– ปวดบริเวณลิ้นปี่
– มีอาการท้องอืด หรือรู้สึกว่ามีลมในกระเพาะมาก
– คลื่นไส้อาเจียนหลังอาหาร

ถึงแม้ว่าอาการดังกล่าวจะไม่ได้ส่งผลให้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่อาการเครียดลงกระเพาะก็ส่งผลให้ ประสิทธิภาพในการทำงานของเราลดลงเป็นอย่างมาก

วิธีการรักษาโรคเครียดลงกระเพาะ วิธีการรักษาโรคนี้จะต้องแก้กันที่ต้นเหตุ ด้วยการคลายความเครียดด้วยวิธีการ ดังนี้

1. เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน ถ้าความเครียดของเราเกิดจากเกิดจากการหมกมุ่นอยู่กับเหตุการณ์ในอดีต หรือมัวแต่คิดถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึงแล้วล่ะก็ การหมั่นดึงจิตใจให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ยอมรับความจริง และคิดหาทางแก้ปัญหาอย่างรอบคอบ และมีสติ จะช่วยลดความเครียดได้เป็นอย่างดี

2. หัดระบายความรู้สึกออกมาบ้าง การได้เล่าความเครียดให้คนอื่นฟัง หรือ จดลงในบันทึกส่วนตัวเป็นอีกวิธีง่ายๆที่จะเอาความเครียดออกไปจากตัวของเรา

3. ออกกำลังกาย เพราะทุกครั้งที่ออกกำลังกาย ร่างกายจะหลั่งสารเอนโดฟิน ออกมาทำให้เรารู้สึก สบายใจ ลดความวิตกกังวลลง

4. ลองตื่นแต่เช้า แล้วลงไปเดินเล่นสวนสาธารณะ สูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด เป็นการเพิ่มพลังให้กับตัวเอง จะทำให้เราพร้อมที่จะแก้ทุกปัญหาที่จะเข้ามา โดยที่ไม่มีความเครียดมารบกวนได้

5. หัดปล่อยวางซะบ้าง ถ้าเจอปัญหาที่มันหาทางออกไม่ได้จริงๆ วิธีที่ดีที่สุดคือ วางมันลงไว้ก่อน แล้วถอยหลังออกมาตั้งหลัก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลาย เมื่อเราพร้อมค่อยกลับมาดูมันอีครั้ง บางทีในครั้งหลังเราอาจจะพบทางออกก็ได้